โรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ (Urinary tract infection)

สารบัญ บทความที่เกี่ยวข้อง

บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?

การติดเชื้อ/ โรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ (Urinary tract infection) หรือเรียกย่อว่า ยูทีไอ (UTI) คือ โรคหรือภาวะที่เกิดจากอวัยวะในระบบทางเดินปัสสาวะเกิดการอักเสบจากการติดเชื้อ ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นการติดเชื้อแบคทีเรีย แต่ทั้งนี้สามารถเกิดได้จากเชื้อโรคทุกชนิด เช่น เชื้อรา และเชื้อไวรัส แต่พบได้น้อยเมื่อเปรียบเทียบกับการติดเขื้อจากแบคทีเรีย ดังนั้นในบทนี้จึงจะกล่าวถึงเฉพาะ ‘การติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย’ เท่านั้น

ระบบทางเดินปัสสาวะ คือระบบที่มีหน้าที่ในการกรองน้ำปัสสาวะจากเลือด และกำจัดออกจากร่างกายทางน้ำปัสสาวะ ประกอบด้วย

  • ไต (ซ้าย และขวา)
  • ท่อไต (ซ้ายและขวา)
  • กระเพาะปัสสาวะ (มีอวัยวะเดียว)
  • และท่อปัสสาวะ (มีอวัยวะเดียว)

โดย:

  • ไต มีหน้าที่กรองปัสสาวะ
  • ท่อไต มีหน้าที่นำส่งปัสสาวะที่กรองจากไตเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะ
  • กระเพาะปัสสาวะ มีหน้าที่เก็บกักน้ำปัสสาวะจนปริมาณมากพอ เส้นประสาทที่ผนังกระเพาะปัสสาวะจะกระตุ้นให้เกิดการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ (ปวดปัสสาวะ) เพื่อขับถ่ายปัสสาวะออกจากร่างกายผ่านทางท่อปัสสาวะที่เปิดออกภายนอกร่างกายที่อวัยวะเพศ
  • ท่อปัสสาวะ คือท่อนำปัสสาวะจากกระเพาะปัสสาวะเพื่อขับถ่ายออกนอกร่างกาย โดยปลายเปิดออกจะอยู่ในบริเวณเดียวกับอวัยวะระบบสืบพันธ์

ทั้งนี้ บางท่านแบ่งระบบทางเดินปัสสาวะเป็น 2 ส่วน คือ

ก. ระบบทางเดินปัสสาวะตอนบน (Upper urinary tract): ประกอบด้วย ไต, กรวยไต(ส่วนของไตที่มีลักษณะเป็นโพรง มีหน้าที่เก็บกักน้ำปัสสาวะที่กรองออกมาจากเนื้อเยื่อไตก่อนปล่อยลงสู่ท่อไต), และท่อไต และ

2. ระบบทางเดินปัสสาวะตอนล่าง (Lower urinary tract): ซึ่งประกอบด้วย กระเพาะปัสสาวะ และ ท่อปัสสาวะ

การติดเชื้อ/โรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ เป็นโรค/ภาวะพบบ่อยมาก พบในทุกอายุ ตั้งแต่เด็ก(พบได้ประมาณ 10% ของโรค/ภาวะนี้)ที่รวมถึงทารกแรกเกิด ไปจนถึงผู้สูงอายุ โดยทั่วไปมักพบโรคนี้ในช่วงอายุ 16-35 ปี(ช่วงวัยเจริญพันธ์) พบในผู้หญิงบ่อยกว่าในผู้ชายประมาณ 4 เท่า ซึ่งประมาณ 40-60%ของผู้หญิงต้องเคยเกิดโรค/ภาวะนี้อย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิต เป็นโรค/ภาวะที่เกิดซ้ำได้บ่อย โดยพบว่า ประมาณ 50% เมื่อเกิดโรคแล้ว จะเกิดโรคซ้ำภายใน 6เดือน-1 ปี

อนึ่ง:

  • การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ มักเกิดกับระบบทางเดินปัสสาวะตอนล่าง ซึ่งเรียกว่า ‘การติดเชื้อ/โรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะตอนล่าง (Lower Urinary tract infection หรือ Lower UTI)’ คือ โรค/ภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis) และ/หรือ โรค/ภาวะท่อปัสสาวะอักเสบ(Urethritis) พบมากประมาณ 20-30 เท่าของการเกิดกับระบบทางเดินปัสสาวะตอนบน
  • เมื่อเกิดการอักเสบติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะตอนบน ซึ่งเรียกว่า ‘การติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะตอนบน (Upper Urinary tract infection หรือ Upper UTI)’ โดยมักเป็นการติดเชื้อของกรวยไต (โรคกรวยไตอักเสบ) ส่วนการติดเชื้อของเนื้อเยื่อไต พบได้น้อย

โรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะเกิดได้อย่างไร? มีสาเหตุจากอะไร?

โรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ

ประมาณ 75-95% ของโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะเกิดจากติดเชื้อแบคทีเรียชนิด อีโคไล (E.coli, Escherichia coli) ซึ่งเป็นแบคทีเรียประจำถิ่นในลำไส้ใหญ่ เชื้อนี้จึงปนเปื้อนอยู่ในอุจจาระและในบริเวณรอบปากทวารหนัก ซึ่งจะอยู่ใกล้เคียงกับปากท่อปัสสาวะ โดยเฉพาะในผู้หญิง นอกจากนั้น ในผู้หญิงโอกาสรับเชื้อแบคทีเรียยังมาจากช่องคลอด ซึ่งปากช่องคลอดเปิดออกภายนอกใกล้กับปากท่อปัสสาวะ ดังนั้น ท่อปัสสาวะในผู้หญิง จึงได้รับเชื้อโรคได้ง่าย ทั้งจากช่องคลอดและจากทวารหนัก ซึ่งลักษณะทางกายภาพนี้ ส่งผลให้ผู้หญิงเกิดการติดเชื้อ/โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะสูงกว่าผู้ชายมาก

เชื้อแบคทีเรียที่พบได้บ่อยรองลงไปจาก อีโคไล คือ เชื้อ Staphylococcus saprophyticus (ประมาณ 5-20%) และจากการติดเชื้อจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทั้งจาก หญิง-ชาย, ชาย-ชาย, และหญิง-หญิง, รวมทั้งจากการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักและทางช่องปาก เช่น โรคหนองใน และโรคหนองในเทียม นอกจากนั้น ที่พบได้บ้างประปราย คือ จากแบคทีเรียในกลุ่ม Enterobacteriaceae (เช่น Klebsiella และ Proteus)

ภายหลังได้รับเชื้อฯ เชื้อฯจะเดินทางเข้าสู่ท่อปัสสาวะ ก่อการอักเสบของท่อปัสสาวะ (โรคท่อปัสสาวะอักเสบ) เข้าสู่กระเพาะปัสสาวะ ก่อการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะ (โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ) เข้าสู่ท่อไตซึ่งมักไม่ก่ออาการอะไร หลังจากนั้นจะเดินทางเข้าสู่ไต/ กรวยไต ก่อให้เกิดโรคกรวยไตอักเสบ ซึ่งการอักเสบของอวัยวะใดอวัยวะหนึ่ง หรือทุกอวัยวะดังกล่าว เรียกในภาพรวมว่า “ภาวะ/โรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ”

ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะมีอะไรบ้าง?

ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดการติดเชื้อ/โรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ คือ

  • เพศหญิง: เนื่องจาก
    • ท่อปัสสาวะของผู้หญิงสั้นกว่าของผู้ชายมาก เชื้อโรคบริเวณปากท่อปัสสาวะ จึงเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะได้ง่ายกว่า
    • ปากท่อปัสสาวะของผู้หญิงเปิดออกสู่ภายนอกในบริเวณใกล้กับช่องคลอด และทวารหนัก จึงมีโอกาสติดเชื้อได้ทั้งจากช่องคลอด และจากทวารหนัก
    • ผู้หญิงช่วงมีประจำเดือน: บริเวณปากช่องคลอดและปากท่อปัสสาวะจะปน เปื้อนเชื้อแบคทีเรียได้ง่าย รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนเพศจะส่งผลให้เนื้อเยื่อบริเวณอวัยวะเพศรวมทั้งปากท่อปัสสาวะติดเชื้อได้ง่ายขึ้นรวมถึง การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนเพศในช่วงตั้งครรภ์ และช่วงวัยหมดประจำเดือน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการติดเชื้อได้ง่ายบริเวณปากช่องคลอดและปากท่อปัสสาวะ และจากการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมของเนื้อเยื่อบริเวณดังกล่าว แบคทีเรียประจำถิ่น (Normal flora) ที่อยู่ในบริเวณนั้นจึงเปลี่ยนแปลงรุนแรงขึ้นจนก่อการติดเชื้อฯ
    • ภาวะตั้งครรภ์: ซึ่งตัวครรภ์จะกดเบียดทับอวัยวะในระบบทางเดินปัสสาวะ โดยเฉพาะกระเพาะปัสสาวะ ก่อให้เกิดทางเดินปัสสาวะอุดกั้นได้ง่าย ปัสสาวะจึงแช่ค้างในกระเพาะปัสสาวะ เชื้อโรคจึงเจริญได้ดี จึงเพิ่มเชื้อโรคในปัสสาวะ ก่อให้เกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้ง่ายขึ้น
  • อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ทั้งหญิงและชาย หรือมีเพศสัมพันธ์บ่อย: จึงมีโอกาสติด โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้สูงกว่า โดยเฉพาะเมื่อมีคู่นอนหลายคน หรือในช่วงเมื่อมีการเปลี่ยนคู่นอน หรือเนื้อเยื่อบริเวณอวัยวะเพศซึ่งรวมถึงท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะเกิดการบาดเจ็บจากเพศสัมพันธ์ จึงส่งผลให้ติดเชื้อได้ง่าย
  • ผู้หญิงที่คุมกำเนิดด้วยการใช้ยาฆ่าอสุจิ: เพราะยาฯจะก่อการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อของช่องคลอดและปากท่อปัสสาวะ จึงเกิดภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย และทางเดินปัสสาวะอักเสบได้ง่าย
  • ผู้หญิงที่ใช้การคุมกำเนิดด้วยการใส่ฝาครอบปากมดลูก (Diaphragm): จะติดเชื้อในช่องคลอด และในทางเดินปัสสาวะได้ง่าย จากความไม่สะอาดของมือ (จากการล้วงเข้าไปในช่องคลอด) และของฝาครอบฯ
  • ใช้เจลหล่อลื่น และ/หรือถุงยางอนามัยชาย ที่ไม่สะอาด
  • มีทางเดินปัสสาวะอุดกั้น: เช่น นิ่วในไต, นิ่วในท่อไต, และ/หรือนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ, เพราะส่งผลให้น้ำปัสสาวะแช่ค้างในทางเดินปัสสาวะ แบคทีเรียที่เจริญ เติบโตได้ดีในน้ำปัสสาวะ จึงก่อการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะได้ง่าย
  • โรคต่อมลูกหมากโต (ในผู้ชาย): เพราะก่อให้เกิดการอุดกั้นทางเดินปัสสาวะ
  • โรคต่อมลูกหมากอักเสบติดเชื้อ: ส่งผลให้การติดเชื้อลุกลามเกิดการติดเชื้อของอวัยวะในระบบทางเดินปัสสาวะ เพราะต่อมลูกหมากจะสัมผัสอยู่กับท่อปัสสาวะ
  • การนั่งนานๆ / การกลั้นปัสสาวะนานๆ: จะส่งผลให้เกิดการแช่ค้างของปัสสาวะ เชื้อโรคในปัสสาวะจึงเจริญได้ดี
  • มีโรคที่ภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ: ร่างกายจึงติดเชื้อได้ง่าย เช่น โรคเบาหวาน
  • โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต: เพราะจะมีปัญหาในการขับถ่ายปัสสาวะ มักเกิดการแช่ค้างของปัสสาวะ แบคทีเรียในปัสสาวะจึงเจริญเติบโตได้ดี
  • โรค/ภาวะที่กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือ ปัสสาวะแต่ละครั้งไม่หมด: จึงมีปัสสาวะค้างในกระเพาะปัสสาวะเสมอ แบคทีเรียในปัสสาวะจึงเจริญเติบโตได้ดี เช่น ในผู้สูง อายุ ในผู้หญิงที่ตั้งครรภ์หลายครรภ์ และในผู้หญิงที่มีโรคกระบังลมหย่อน หรือในโรคต่อมลูกหมากโต (ในผู้ชาย)
  • การใช้สายสวนปัสสาวะ: เพราะท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะจะบาดเจ็บจากสายสวน รวมทั้งการติดเชื้อจากตัวสายสวนเอง เช่น ในผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาต และผู้ป่วยผ่าตัดใหญ่ที่ต้องใส่สายสวนปัสสาวะ
  • มีความผิดปกติแต่กำเนิดของทางเดินปัสสาวะ: ที่เป็นสาเหตุให้มีการกักคั่งของน้ำปัสสาวะ (พบได้น้อย)

โรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะมีอาการอย่างไร?

อาการจากโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ คือ

ก. อาการจากโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะที่พบบ่อย คือ

  • ปัสสาวะบ่อย ครั้งละน้อยๆ ปวดแสบเวลาปัสสาวะ โดยเฉพาะเมื่อสิ้นสุดปัสสาวะ และมักตื่นปัสสาวะกลางคืนบ่อยกว่าปกติ
  • อาจกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
  • ปัสสาวะขุ่น มีกลิ่นแรง หรือเหม็น ผิดปกติ
  • อาจมีปัสสาวะเป็นเลือด
  • ปวดท้องน้อย/ อุ้งเชิงกราน

ข. อาการอื่นๆที่พบบ่อยน้อยกว่าอาการในข้อ ก. คือ

  • อาจมีไข้ต่ำๆ บางครั้งถ้าโรครุนแรงอาจมีไข้สูง
  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ทั่วตัว
  • อ่อนเพลีย
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • เจ็บบริเวณอวัยวะเพศ และ/หรืออุ้งเชิงกรานเมื่อมีเพศสัมพันธ์
  • มีหนอง หรือ สารคัดหลั่งบริเวณอวัยวะเพศ ปากช่องคลอด และ/หรือปากท่อปัสสาวะ

ค. อาการจากโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะตอนบนที่นอกเหนือจากที่กล่าวแล้ว คือ

  • มีไข้ มักเป็นไข้สูง
  • หนาวสั่น
  • ปวดเอวทั้งสองข้าง

แพทย์วินิจฉัยโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะอย่างไร?

แพทย์วินิจฉัยการติดเชื้อ/โรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะได้จาก

  • การซักถามประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย ที่สำคัญ เช่น อาการ ประวัติการเจ็บป่วยต่างๆ ประวัติเพศสัมพันธ์ ลักษณะการทำงาน การดื่มน้ำมากน้อยต่อวัน
  • การตรวจร่างกาย
  • การตรวจปัสสาวะ ดู เม็ดเลือดขาว และเม็ดเลือดแดง
  • อาจมีการตรวจภายในในผู้ป่วยหญิง
  • อาจมีการตรวจทางทวารหนักในผู้ชายเพื่อตรวจคลำต่อมลูกหมาก
  • และอาจมีการสืบค้น/การตรวจสืบค้นอื่นๆทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม ตามอาการผู้ป่วยและดุลพินิจของแพทย์ เช่น
    • การตรวจย้อมเชื้อ/การตรวจเชื้อ และ/หรือการเพาะเชื้อ จากปัสสาวะ
    • การตรวจหาชนิดของยาปฏิชีวนะ ที่จะใช้ฆ่าเชื้อได้อย่างเฉพาะเจาะจงต่อเชื้อฯก่อโรค
    • การเอกซเรย์ภาพช่องท้องและอุ้งเชิงกราน และ/หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan)
    • และ/หรือการส่องกล้องตรวจระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งอาจร่วมกับการตัดชิ้นเนื้อบริเวณรอยโรคเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา

รักษาโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะอย่างไร?

แนวทางการรักษาการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ คือ การใช้ยาปฏิชีวนะ, การรักษาสาเหตุ, และการรักษาประคับประคองตามอาการ

ก. การใช้ยาปฏิชีวนะ: โดยชนิด ขนาดยา (Dose) และระยะเวลาที่ใช้ยาฯ ขึ้นกับ ความรุนแรงของอาการ, เชื้อที่เป็นสาเหตุ/ ปัจจัยเสี่ยง, การเกิดโรคครั้งแรกหรือเป็นโรค/ภาวะย้อนกลับเป็นซ้ำ, สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย, และดุลพินิจของแพทย์ผู้รักษา, ซึ่งในผู้ป่วยที่เกิดโรคบ่อย อาจมีการให้ยาปฏิชีวนะเพื่อการป้องกันการเกิดโรคย้อนกลับเป็นซ้ำ ทั้งนี้ขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์เช่นกัน

ข. การรักษาสาเหตุ: เช่น

  • การรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เมื่อโรคเกิดจากโรคติดต่อทางเพสสัมพันธ์
  • หรือการรักษาโรคนิ่วในไต หรือโรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ เมื่อโรคเกิดจากโรคนิ่วในไต หรือในกระเพาะปัสสาวะ เป็นต้น

ค. การรักษาประคับประคองตามอาการ: เช่น

  • ให้ยาแก้ปวด
  • ยาลดไข้
  • ยาบรรเทาอาการ คลื่นไส้ อาเจียน
  • และการดื่มน้ำมากๆ มากกว่าปกติ

โรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะรุนแรงไหม? มีผลข้างเคียงอย่างไร?

โดยทั่วไป เมื่อพบแพทย์/มาโรงพยาบาลได้เร็ว การติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะจะไม่รุนแรง อาการจะดีขึ้นหรือหายได้ภายใน 1สัปดาห์ ทั้งนี้โดยเป็นการรักษาแบบผู้ป่วยนอกด้วยการกินยาปฏิชีวนะ แต่ในโรค/ภาวะกรวยไตอักเสบ โรคมักรุนแรง การให้ยาปฏิชีวนะมักให้ทางหลอดเลือดดำที่อาจจำเป็นต้องรักษาแบบผู้ป่วยในโรงพยาบาล

แต่ถ้าพบแพทย์ช้า หรือมีการเกิดเป็นซ้ำบ่อยๆ (พบได้ประมาณ 25%ของผู้ป่วย โดย เฉพาะในผู้หญิง) อาจส่งผลให้เชื้อดื้อยา และโรครุนแรงจนเกิดการติดเชื้อในกระแสโลหิตได้ (ภาวะพิษเหตุติดเชื้อ/ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด) หรือเกิดเป็นโรคไตเรื้อรังได้

อนึ่ง ผลข้างเคียงจากโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ คือ

  • โรคย้อนกลับเป็นซ้ำ/ มีการติดเชื้อซ้ำๆหลังติดเชื้อครั้งแรกภายใน 6 เดือน-1ปี ที่อาจส่งผลให้เกิด
    • เชื้อดื้อยา
    • ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด
    • โรคไตเรื้อรัง

ดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?

การดูแลตนเองและการพบแพทย์เมื่อมีโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ ที่สำคัญ คือ

ก. เมื่อมีอาการดังกล่าวใน’หัวข้อ อาการฯ’ ควรรีบพบแพทย์/มาโรงพยาบาล เพราะการรักษาจำเป็นต้องได้รับยาปฏิชีวนะอย่างถูกต้องทั้งชนิดของยา, ปริมาณยา (Dose), และระยะเวลาที่ได้รับยา, เพื่อลดโอกาสเกิดโรคย้อนกลับเป็นซ้ำจากการรักษาที่ไม่เหมาะสม และเชื้อดื้อยา ดังนั้นจึงเป็นโรคที่ผู้ป่วยไม่สามารถดูแลตนเองให้โรคหายได้

ข. เมื่อพบแพทย์แล้ว การดูแลตนเอง ที่สำคัญ คือ

  • ปฏิบัติตาม แพทย์ พยาบาล แนะนำ
  • กินยา/ใช้ยาต่างๆที่แพทย์สั่งให้ครบถ้วน ถูกต้อง ไม่หยุดยาเอง ถึงแม้อาการจะ ดีขึ้น/หายแล้วก็ตาม
  • ดื่มน้ำสะอาดให้มากกว่าเดิม อย่างน้อยวันละ 8-10แก้ว เมื่อไม่มีโรคต้องจำกัดน้ำดื่ม
  • ไม่กลั้นปัสสาวะนาน
  • พยายามเคลื่อนไหวร่างกายเสมอ ไม่นั่งนานๆ
  • งดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าโรคจะหายแล้ว
  • สวมใส่กางเกงในเป็นผ้าฝ้าย100% ไม่รัดแน่นเกินไป เพื่อลดการระคายเคืองบริเวณอวัยวะเพศ และปากท่อปัสสาวะ และเพื่อเพิ่มการระบายอากาศไม่ให้บริเวณนั้นอับชื้น
  • ในผู้หญิง ควรล้างบริเวณอวัยวะเพศและปากท่อปัสสาวะจากด้านหน้าไปด้านหลังเสมอ เพื่อลดการปนเปื้อนแบคทีเรียจากปากทวารหนัก
  • ปรึกษาสูตินรีแพทย์ เพื่อพิจารณาปรับเปลี่ยนชนิดยาคุมกำเนิด (ในผู้หญิง) หรือ เจลหล่อลื่น เมื่อเกิดโรคกระ เพาะปัสสาวะอักเสบโดยหาสาเหตุอื่นไม่ได้
  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) ลดโอกาสติดเชื้อต่างๆ
  • หลังการขับถ่าย ควรล้างด้วยน้ำสะอาด และซับให้แห้งเสมอ อาจใช้กระดาษเปียกสำหรับทำความสะอาดของเด็กอ่อนเมื่อไม่สะดวกที่จะล้างทำความสะอาด
  • ใช้ทิชชูชนิดอ่อนนุ่ม ไม่แข็งกระด้างในบริเวณอวัยวะเพศเสมอ
  • รักษาควบคุมโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยง เช่น โรคเบาหวาน หรือ โรคต่อมลูกหมากโต

ป้องกันโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะอย่างไร?

การป้องกันโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะที่สำคัญ คือ

  • ดื่มน้ำสะอาดให้ได้อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้วเมื่อไม่มีโรคที่ต้องจำกัดน้ำดื่ม
  • เคลื่อนไหวร่างกายเสมอ ไม่นั่งนานๆ เช่น เมื่อรถติดมาก
  • ไม่กลั้นปัสสาวะนานๆ
  • ใช้ทิชชูที่อ่อนนุ่มในการทำความสะอาดปากท่อปัสสาวะ และอวัยวะเพศ
  • ไม่ใช้ยาดับกลิ่นบริเวณอวัยวะเพศ
  • หลายการศึกษาพบว่า การมีเพศสัมพันธ์เพิ่มปริมาณเชื้อโรคในปัสสาวะ ดังนั้นจึงมีคำแนะนำให้ปัสสาวะก่อนและหลังการมีเพศสัมพันธ์ จะช่วยลดปริมาณเชื้อโรคในปัสสาวะลง จึงลดโอกาสเกิดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
  • รักษาควบคุมโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยง
  • ไม่สำส่อนทางเพศ
  • ใช้ถุงยางอนามัยชายทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ)
  • ในผู้หญิง
    • ทำความสะอาดอวัยวะเพศ และหลังการขับถ่ายจากด้านหน้าไปด้านหลังเสมอ เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของแบคทีเรียจากปากทวารหนัก
    • ไม่ใช้การคุมกำเนิดด้วยยาฆ่าอสุจิ
    • ไม่ใช้การคุมกำเนิดด้วยการใช้ฝาครอบปากมดลูก

บรรณานุกรม

  1. Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
  2. Mehnert-Kay, S. (2005). Diagnosis and management of uncomplicated urinary tract infections. Am Fam Physician. 72, 451-456.
  3. Orenstein, R., and Wong, E. (1999). Urinary tract infections in adult. Am Fam Physician. 59, 1225-1234.
  4. https://www.nice.org.uk/guidance/ng109 [2019,July13]
  5. https://en.wikipedia.org/wiki/Urinary_tract_infection [2019,July13]
  6. https://emedicine.medscape.com/article/231574-overview#showall [2019,July13]